แอบก็อบมาอ่านเอง จะได้อ่านง่ายๆ

16

บันทึกหมอโหด # โศกนาฏกรรมความรัก (หมอ-พยาบาล) ณ โรงพยาบาลบ้านนอก # ตอนที่ 16 (จบ) #

การเดินทางมาเที่ยวครั้งนี้ของผมและเธอ...นังโหด
จุดประสงค์หลักก็คือมาพักผ่อนหย่อนใจ แต่... ยังมีเป้าหมายอีกอันหนึ่งคือ ขอเธอแต่งงาน

การขอผู้หญิงซักคนแต่งงานเป็นดรื่องที่ยากมากถึงมากที่สุดสำหรับผู้ชาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผมเอง

มันจะต้องซาบซึ้ง ซาบซ่าน โรแมนติก แฮปปี้ เป็นเอกลักษณ์ และ ต้องมั่นใจว่าคำตอบคือ ได้ เท่านั้น

เอาล่ะ วางแผนก่อน ว่าเอาไงดี

ใส่แหวนในแก้วไวน์ ในของกิน?
เชยสัสๆ ดีไม่ดีเกิดกินเข้าไปจริงๆ อาจซวยได้ หรือไม่ก็รอจนกว่าจะขี้ออกมา แล้วค่อยไปทำความสะอาดก่อนใช้จริง เหอๆ

ไม่ผ่าน ... อันตรายได้

บอกรักกลางที่สาธารณะ? กลางห้าง กลางร้านอาหาร กลางชุมชน?
แม่ง อาย ... แถมถ้าผู้หญิงเกิดไม่ชอบ เธอเดินหนี หรือ ตบหน้า ... ซวยไป แถมอาจะต้องลงทุนเยอะซักหน่อย

ไม่ผ่าน ... มีความเสี่ยงเอาปี๊บคลุมหัวแหงๆแถมไม่มีตังด้วย

ใช้คนกลางเอาของขวัญไปให้? ส่งดอกไม้ ส่งของขวัญ?
ไม่เอาดีกว่า ทำเองก็ได้ แถมถ้ามันขโมยล่ะ ซวยเปล่าๆ

ไม่ผ่าน ... ไม่ได้เป็นง่อย ทำเองได้ครับ

เอาจิ๊กโก๋มาดักทำร้าย แล้วสวมบทฮีโร่?
เกิดจิ๊กโก๋มาถูกใจนังโหด อยากเล่นบทจริงๆ หรือว่า มันแบล๊คเมล์เอา กลายเป็นหมาทันที

ไม่ผ่าน ... เล่นเป็นคุณชายหมอต่อดีกว่า ไม่นิยมความรุนแรง

ยสตน.? เผื่อฟลุ๊ค
บ้าไปแล้ว ... ดูขากสถานการณ์ปัจจุบัน ยังไม่มั่นคงพอ

ไม่ผ่าน รอมีลูกเมื่อพร้อมจริงๆดีกว่า

เอาไงดีล่ะ ... นึกมาหลายอย่างแต่ไม่มีอันไหนผ่านเลย ...

ถ้าอย่างนั้นก็พักไว้ก่อนดีกว่า ...
...

พอเราเดินทางมาถึงไร่เลย์ ก็เดินตระเวณหาที่พัก แต่ราคาแพงมากกกกกก แถมไม่ใช่ว่าคุณภาพจะดีสมราคาซักเท่าไหร่ ... แพงเกินไป ว่างั้น
... สุดท้ายตกลงกันว่าหาแบบถูกๆง่ายๆไว้ก่อน เพราะอากาศร้อนมาก เหงื่ออกชุ่มเสื้อ คนพลุกพล่าน หิวก็หิว โอยยย อยากได้ที่พักเต็มทน
และก็หาเจอแห่งหนึ่ง ราคาพอรับได้ที่ราวๆพันกลางๆ แต่คุณภาพไม่น่าเกิน ห้าร้อยบาท
เอาน่ะ ... พักก่อน

เช็คอินเข้าห้องพักเรียบร้อย จัดแจงอาบน้ำก่อน แล้วค่อยออกไปเดินหาอะไรกินดีกว่า

ตอนออกไปหาอะไรกิน ก็พยายามเดินหาร้านที่โอเคๆหน่อย เพราะราคามหาโหดพอใช้ได้เลยขนาดเป็นหาดที่ติดแผ่นดินใหญ่ นั่งเรือก็ไม่ได้นาน ... แต่อัพราคากันสนุกสนานกันเลยทีเดียว

ไปเจอร้านช้างพังช้างพลายทั่วไป(ไม่ถึงขนาดช้างเผือกนะ) ราคาพอรับได้ ข้าวผัดจานละร้อยนึง บรรยากาศพอถูไถ
นั่งกินไปพลาง พยายามนึกแผนการไปพลางๆ แต่ นึกไม่ออกเลยสิพับผ่า

จนกระทั่งกินเสร็จ กะว่าไปเดินริมหาดต่อเลย ... และอย่างที่บอก
มีเหล่ามนุษย์นอนกันเบียดเสียด จะเดินไปเล่นน้ำทะเล ถ้าไม่อ้อมซักกิโล ก็คงต้องเหยียบศพพวกนี้ไป
แล้วก็ไม่ไหว ร้อนชิบหาย ความรำคาญเพิ่มขึ้น ... ไปนอนดีกว่า ตอนเย็นๆค่อยมาอีกที
พอแดดไม่ค่อยมี พวกฝรั่งอาบแดดคงจะลดลงบ้างมั้ง

กลับมาถึงที่พักก็นอนกอดก่ายกันตามปกติของคู่รัก ...

พอตกเย็น ราวๆ ห้าโมงเย็น คงเป็นเวลาที่เริ่มน้อยแล้วมั้งก็เลยออกไปเดินชายหาดดีกว่า

พอถึงหาด คนเริ่งลดลงบ้าง ค่อนข้างจะโอเคสักหน่อยแล้ว เลยตัดสินใจเล่นน้ำกัน

รอบนี้ต่างจากที่ไปขนอม เล่นกันสนุกกุ๊กกิ๊ก วิ่งไล่จับ สาดน้ำกัน ไปว่ายน้ำให้เธอขี่คอ
แสงแดดค่อยๆน้อยลงเรื่อยจนฟ้าเป็นสีส้มๆ
ยามนี้ เมื่อเห็นเธอ ... เธอสวยเหลือเกิน ... ผู้หญิงตัวเล็กๆ ผิวสีน้ำผึ้ง ผมออกสีน้ำตาล อยู่ในทะเลหันหลังให้ดวงอาทิตย์ น้ำทะเลด้านหลังเป็นประกายระยิบระยับตามจังหวะคลื่น

... สวยจัง ... ผมหลุดปากออกไป
อะไรเหรอ? ... เธอถาม แล้วก็หันไปหันมา
เธอนั่นแหละ ... สวยจัง ... ผมตอบ
... เธอไม่ตอบ แต่สาดน้ำมาแทน
ผมเอามือบังหน้า แล้วก็เอื้อมมือไปจับหัวไหล่ของเธอไว้
... เค้ารักเธอนะ ... ผมบอกเธอไป และพยายามจ้อตาเธอ
... เธอเขิน ...
เธอเอามือผมออกแล้วก็ลากไปว่ายน้ำกันต่อ ... แล้วก็กระโดดขึ้นหลังผมพร้อมกับเอามือกอดคอ
... เค้าก็รักตัวเองเหมือนกัน ... เธอพูดข้างๆหู
อยู่กับเค้า...แล้วมีความสุขมั้ย? ผมถามไป
... อื้ม ... เธอตอบ
อยู่ด้วยกันไปตลอดเลยได้มั้ย? ... ผมถาม
... ยังไงเหรอ? เธอถามกลับ
ก็แบบว่า ... ตลอดชีวิตน่ะ ... ผมบอกไปตามตรง
ได้สิ ... เธอตอบ
แต่งงานกับเค้านะ ... ผมขอแบบดื้อๆเลย
อือ ... สัญญาอะไรข้อนึงได้รึเปล่า? เธอตกลงแล้วก็ถามบ้าง
งั้นเค้าขอข้อนึงด้วย แลกกัน ... ผมต่อรองด้วย
ได้ ... เธอบอกมาก่อน ... เธอตอบ
ถ้าแต่งแล้ว ย้ายไปอยู่ด้วยกันนะ ... ผมบอกไป
ถ้าแต่งงานกัน ก็ต้องอยู่ด้วยกันสิ ... เธอบอก
แล้วเธอจะขออะไร? ผมถามของเธอบ้าง
เธอต้องให้เราเป็นคนเก็บตังนะ เพราะเธอน่ะ ฟุ่มเฟือยมาก ชอบใช้เงินสิ้นเปลือง ชอบเอาไปซื้อเลนส์ ... เธอตอบแถมด้วยเหตุผลเพื่อต้อนผม (เหยดดดดดด)
ได้สิ สัญญา ... ผมตอบ
แล้วผมก็หยุดว่ายน้ำ หันนห้าไปมองเธอ แล้วเราก็กอดกัน ...
...
..
.
หลังจากจบทริปนี้ก็เริ่มเดินสายหาผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายเพื่อจัดพิธีการหมั้นหมาย พร้อมด้วยหาฤกษ์สำหรับแต่งงาน

พิธีหมั้นหมายได้จัดในเดือนเมษายน
เป็นพิธีแบบไทยๆคือฝ่ายชายแห่ขบวนขันหมากไปสู่ขอลูกสาว
แล้วทางผู้ใหญ่ก็เจรจากันว่าสินสอดอะไรบ้างเท่าไหร่ จัดงานยังไง ก็ว่าไป
ฤกษ์แต่งงานก็ให้บ่าวสาวไปหากันเอง
และก็ไปได้เอาเดือนสิงหาคม

ช่วงจัดเจรียมงานแต่งงานเป็นอะไรที่ยุ่งวุ่นวายมาก เพราะมาเกิดปัญหาขึ้น ฝ่ายเจ้าสาวต้องการแบบนึง ฝ่ายเจ้าบ่าวต้องการแบบนึง กว่าจะตกลงกันได้ ทำเอาปวดหัวไปตามๆกัน ... ต้องเตรียมชุด เตรียมถ่ายรูปต่างๆ เตรียมการ์ด เตรียมของชำร่วย แจกซอง เลือกอาหาร เลือกวงดนตรี เลือกซุ้ม เลือกฉาก หาช่าง ฯลฯ เป็นช่วงชีวิตที่น่าจะเหนื่อยสุดแล้ว ยอมอยู่เวรติดๆกันเดือนนึง จะยังดีกว่าอีก

และงานแต่งงานก็ได้จัดขึ้นที่โรงแรมแห่งหนึ่งในจ.นครศรีธรรมราช ...
ช่วงเช้า เป็นพิธีรดน้ำสังข์ และเป็นงานเลี้ยงในช่วงเย็น ...

ในงานเลี้ยงบ่าวสาวก็จะขึ้นเวที เพื่อให้พิธีกรแซวและสัมภาษณ์

พิธีกร : เรามาสัมภาษณ์บ่าวสาวคู่นี้กันครับ ... ไม่ทราบว่า ไปเจอกันได้ยังไงครับ
หมอโหด : ตอนนั้น ผมไปเป็นหมออยู่ที่โรงพยาบาลชุมชนแห่งนี้ และก็ได้เจอกับเธอที่เป็นพยาบาลห้องฉุกเฉินครับ

พิธีกร : ตอนแรกที่เจอเจ้าบ่าว ... เจ้าสาวรู้สึกอย่างไรบ้างครับ
นังโหด : ก็ เป็นคนตัวใหญ่มากเลยค่ะ

พิธีกร : ไม่ทราบว่าคุณเจ้าสาว ประทับใจผู้ชายคนนี้ตรงไหน
นังโหด : ก็ เค้าเป็นคนตรงๆดีค่ะ นิสัยดี แล้วก็เสมอต้นเสมอปลายดี

พิธีกร : แล้วไม่ทราบว่า เจ้าบ่าวล่ะครับ ประทับใจตรงไหน?
หมอโหด : เธอเป็นคนน่ารัก นิสัยดี อยู่ด้วยแล้วมีความสุขครับ

พิธีกร : วันนี้ เจ้าบ่าว รู้สึกอย่างไรบ้างครับ
หมอโหด : ก็ดีใจที่ได้เมียครับ

พิธีกร : โอ้โห ... ตรงไปตรงมาจริงๆ ... เรามาถามเจ้าสาวบ้างนะครับว่าดีใจที่ได้ผัวรึเปล่า 555 ไม่เอาดีกว่า เจ้าสาวมีอะไรอยากจะบอกเจ้าบ่าวรึเปล่า
นังโหด : ก็ขอให้เสมอต้นเสมอปลายแบบนี้ตลอดไปค่ะ

พิธีกร : แล้วเจ้าบ่าวล่ะครับ ... จะบอกอะไรเจ้าสาวบ้าง
หมอโหด : ผมจะทำให้เธอเป็นผู้หญิงที่น่าอิจฉาที่สุดครับ

พิธีกร : โอ้โห ... ประกาศกันแบบนี้เลย ... น่าจะได้เวลาเหมาะสมแล้ว อยากให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวได้กล่าวอะไรส่งท้ายสักหน่อยนะครับ
เจ้าสาว : ขอขอบคุณพ่อแม่ที่ได้ทำให้หนูได้มีทุกๆวันนี้ ขอขอบคุณ พี่น้อง เพื่อนๆ และแขกผู้มีเกียรติทุกท่านที่ได้เสียสละเวลาอันมีค่า มาเป็นสักขีพยานในวันนี้ค่ะ ขอบคุณมากค่ะ

พิธีกร : เจ้าบ่าวบ้างครับ
เจ้าบ่าว : ขอขอบพ่อแม่ที่ได้ทำกันทำให้ผมเกิดมาะได้เลี้ยงดูผมเสมอมาครับ (เสียงโห่) ขอขอบคุณท่าน x ท่าน y ท่าน z ที่ได้มาเป็นประธานและได้มากล่าวให้โอวาทในวันนีครับ ขอขอบคุณพี่ๆน้องๆเพื่อนๆทุกๆคนที่เป็นแรงผลักดัน ช่วยสนับสนุนเสมอมาด้วยดี ขอขอบคุณกลุ้มเพื่อช่างภาพจาก"กรุงชิง"ที่ได้มาถ่ายภาพเก็บความทรงจำดีๆให้ครับ ขอขอบคุณทุกๆท่านที่มาร่วมเป็นสักขีพยานในวันนี้ครับ ... และสุดท้ายนี้ ผมอยากจะบอกว่า ผมเชื่อว่าการที่คนสองคนจะมารักกันได้ ก็เริ่มต้นจากการเห็นความดีของกันและกัน แต่สิ่งที่จะทำให้คนสองคนอยู่กันไปได้ตลอดกาลคือการเรียนรู้และยอมรับความไม่ดีของอีกฝ่ายให้ได้ ... สำหรับเธอคนนี้ ผมรักเธอและรักทั้งเรื่องที่ดีและไม่ดีของเธอ ผมจะรักเธอไปตลอดชีวิตนี้ ... ขอบคุณทุกๆท่านมากครับ

และแล้ว ... เราทั้งสองคน ก็ได้แต่งงานและใช้ชีวิตคู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ... ตลอดกาล

~ จบบริบูรณ์ ~

ปล. โอกาสบางอย่าง อยู่ๆมันจะมา มันก็มา ไม่เห็นต้องวางแผนอะไรมากมาย (นังโหดตัวทำลายแผนเลย) แต่ถ้ามาก็จงรีบคว้าเอาไว้ เพราะมันไม่มาบ่อยๆหรอก
ปล2. หลังจากขอแต่งงานได้ 2-3 เดือน เธอก็ลาออกจากโรงพยาบาล ย้ายมาอยู่กับผม และมาทำงานที่คลินิก เป็นผู้กุมเงินทุกบาททุกสตางค์ที่คลินิกแทน
ปล3. เหตุผลที่ลาออกเพราะให้มาทำหน้าที่แม่ของลูกแบบเต็มๆ และถ้าคลินิกมีพยาบาลช่วยด้วยจะยิ่งทำงานง่าย เร็ว และมีประสิทธิภาพสูงกว่ามีแค่หมอ
ปล4. โหดน้อยน่าจะเกิดจากอุบัติเหตุรักในอ่างจากุสชี่ ตอนที่ไปเที่ยวภูเก็ต หลังจากหมั้นหมายเรียบร้อยแล้ว
ปล5. ขอให้ทุกท่านมีความสุขในสัปดาห์แห่งความรักนี้ สาธุ
ปล6. รูปเด็กแรกเกิด เป็นรูปโหดน้อยจริงๆ พ่อมันถ่ายเอง ... ส่วนรูปพรีเวดดิ้งสามรูปล่างซ้ายก็เป็นของจริง ... และรูปเด็กขวามือบนก็เป็นรูปโหดน้อยจริงๆตอนอายุ 3 ชม
ปล7.แฟนเพจครึ่งแสนแล้วโว้ยยยย

15

# โศกนาฏกรรมรัก (ของหมอ-พยาบาล) ณ โรงบาลบ้านนอก # ตอนที่ 15 #

เท้าความเดิมจากตอนที่แล้ว ... ระหว่างทางที่ขับรถอยู่ จู่ๆผมก็ถามเธอขึ้นมาว่าแต่งงานกันมั้ย ...

เธอ ... แต่งงานกันมั้ย? ... ผมถามเธอไป ระหว่างที่ขับรถไปเที่ยวกัน
ขอคิดก่อน ... เธอตอบว่าขอคิดก่อน แต่เดาว่าเธอคงไม่ได้คิดด้วยซ้ำตอนที่ตอบแบบนี้มา
ทำไมล่ะ? บอกได้มั้ย? ผมถามต่อ
ก็ ... เอ่ ... ยังไม่ถึงเวลาทีมั้ง ... เธอตอบ
อื้ม ... ถ้างั้นก็ไม่เป็นไร ... ผมตอบ
ไม่โกรธเค้านะ ... เธอถามต่อ
อ้าว ... จะโกรธได้ไง แฟนอุตส่าห์ไม่แต่งงานด้วย ... ผมยียวนกลับไป
555 ... เราทั้งสองคนหัวเราะพร้อมกั
...
..
.
หลังจากนั้นราวๆครึ่งเดือนต่อมา ...ช่วงเวลาดึกๆคืนหนึ่ง
... เธอ ... เป็นไรป่าว ... เห็นนอนละเมอ ... นังโหดปลุกผมตอนกลางคืน
เปล่า ... ผมตอบแบบง่วงๆ และรู้สึกเพลียๆ
ก่อนหน้านั้นอยู่เวรแบบคอมโบ 5 วันติดไม่ค่อยได้หลับยาวๆซักเท่าไหร่ มีเคสทั้งกลางวันกลางคืน คืนนี้เป็นคืนที่ไม่ได้อยู่เวร ได้ปลดเปลื้องความเหนื่อยล้าซักหน่อย

... รุ่งเช้า ...
เธอ ... ตื่นได้แล้ว จะแปดโมงแล้ว ... นังโหดปลุกผม
อือ ... ผมตอบไปแต่ไม่ได้รู้ตัวซักเท่าไหร่ จนหลับไปต่อ
... 5 นาทีต่อมา ...
เป็นไรรึเปล่า ... ตัวร้อนจี๋เลย ... ไปทำงานไหวมั้ย ... เธอถามต่อ แต่ผมก็ไม่ได้ตอบ เพราะไม่ค่อยมีสติ มันลอยๆแปลกๆ

เป็นไงบ้าง ... นังโหดถามไปพร้อมกับเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวให้
เธอ ... กินยาพาราก่อน ... เธอบอกและยื่นยากับน้ำมาให้
ตอนนั้นก็กินยากินน้ำแล้วก็สติหายไปอีก
รู้ตัวอีกที ราวๆ 11 โมง ... หันไปหันมา มีข้าวต้มตั้งอยู่กับน้ำแก้วนึง และมีกระดาษเขียนไว้ว่า ... กินข้าวแล้วกินยาด้วยนะ ตื่นแล้วโทรหาด้วย ... เป็นห่วงนะ
พออ่านเสร็จก็เอาข้าวมากินได้สองสามคำ กินยาแล้วก็นอน สติก็หายไปอีก

เธอ ... ไหวรึเปล่า ... นังโหดมาปลุก
อือ ... ดีขึ้นหน่อยแล้ว ... ผมบอก
ให้เอายาอะไรมาให้มั้ย ยังตัวร้อนอยู่เลย ... เธอบอก
ไม่ต้องหรอก ... แล้วลาป่วยให้แล้วยัง? ผมถามต่อ เพราะตามธรรมเนียม หมอมักจะไม่ค่อยลาป่วย ยกเว้นลุกไม่ไหวจริงๆ
บอกให้แล้ว พี่หมอผัวเมีย ไม่ว่าอะไร บอกให้พักผ่อนก่อน ... เธอบอก
กี่โมงแล้ว? ผมถามต่อ เพราะไม่รู้เวลาเลย
เกือบบ่ายโมงแล้ว เค้าพักถึงบ่ายครึ่งนะ ... เธอตอบ
แล้วกินอะไรยัง? ... ผมถาม
เดี๋ยวค่อยไปหากินก่อนหมดเวลา ... นอนเถอะ ... เธอตอบ
ขอนอนหนุนตักหน่อยสิ ... ได้มั้ย ... ผมขอ
แหม่ ... พอไม่สบายแล้วได้ใจใหญ่เลยนะ ... เธอตอบ แต่ก็ขยับมาแล้วก็เอาหัวผมไปหนุนตักเธอ
... ขอบคุณนะ ... ผมตอบ แล้วก็หลับไปอีกครั้ง

รู้ตัวอีกทีตอนเกือบๆจะ หกโมงเย็นเพราะเธอเอาข้าวเข้ามาให้กิน แล้วสงสัยจะปิดประตูแรงไปหน่อย เลยเกิดเสียงดังปลุกผม
... อ้าว ขอโทษนะ เราทำเสียงดังปลุกเธอเหรอ ... เธอบอก
ไม่เป็นไหรหรอก เหงื่อออกตัวเหนียวหมดแล้ว ... กลับมานานแล้วเหรอ? ผมถามเธอ
ก็ลงเวรสี่โมงครึ่ง กลับมาแล้วก็ทำกับข้าวเพิ่งเสร็จเนี่ยแหละ ... เธอตอบ
แล้วเธอกินอะไรแล้วยัง? ผมถาม เพราะยังไม่ได้เห็นเธอกินเล
กินก่อนเถอะ ... เดี๋ยวเราค่อยกิน ... เธอตอบ
ไม่เอาอ่ะ มากินด้วยกันเลย ไม่งั้นไม่กิน ... ผมต่อรอง นานๆมีโอกาสต่อรองซักที
ได้ใจเชียวนะ ... งั้นรอแปปนึง ... เธอบอก วางจานข้าว แล้วก็เดินลงไปตักข้าวของตัวเองมากินด้วยกัน

ต้องอย่างนี้สิ กินคนเดียวไม่อร่อยเลย ... ผมบอก
กินสิ ... กินได้มั้ย? เธอถามต่อ
ไม่ไหวอ่ะ ไม่มีแรงกินเลย ยกช้อนข้าวไม่รอด ... ผมตอบไป กะว่าเธอป้อนให้แหง เวลานี้อัตราต่อรองสูง
กินไม่ได้ ก็ไม่ต้องกิน ... เธอตอบแล้วก็กินไปเรื่อยๆ
หิวอ้ะ หิวอ้ะ หิวอ้ะ ... ไม่มีคนป้อนข้าว ... ผมพูดลอย
... ไม่มีสัญญาณตอบกลับ
อร่อยมั้ยอ่ะ อยากกินบ้าง แต่ไม่มีแรง ... ผมพูดต่อ
โตแล้วนะ ... เธอพูดสั้นๆ
... เออๆ กินเองก็ได้ ... ผมตอบแล้วก็หยิบจานข้าวมากินเอง
กินให้หมดนะ ... เดี๋ยวถูหลังให้ ... เธอพูดออกมา
... หือ? ... ผมตอบแล้วก็รีบกินข้าว แล้วก็กินยา ... แล้วก็ ...


..
.
แต่วันที่มีความสุขก็เหมือนว่าจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว
...
และแล้ววันที่เราต้องแยกจากกันก็มาถึงจนได้

ผมยังยืนยันในคำเดิมคือว่าจะย้ายแน่ๆ เพราะอยากถ่ายรูปใจจะขาด รวมถึงอยากได้บรรยากาศใหม่ๆ โรงพยาบาลที่จะย้ายไปก็ใกล้บ้านผมมากกว่า

ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้จะพยายามหาเหตุผลอะไรมากมาย แต่ก็คิดว่าน่าจะยังไม่ดีพอ
จึงได้ตัดสินใจยื่นคำขอย้าย ไปโดยที่ไม่ได้บอกเธอซักคำ แค่เกริ่นๆไว้เมื่อนานมาแล้

คำขอย้ายได้รับการอนุมัติอย่างรวดเร็ว และในเวลาไม่นานคำสั่งให้ย้ายก็มาถึง

ความรู้สึกแปลกๆที่ไม่เคยคิดว่าผมจะมีก็เกิดขึ้น

..
.
กลัว ...

กลัวว่าแยกกันแล้วเธอจะไม่รัก กลัวเธอจะลืม กลัวเอจะมีแฟนใหม่ ...
กลัวว่าย้ายไปแล้วที่ใหม่จะไม่มีความสุขเหมือนที่นี่ … ที่นี่อยู่จนอะไรอะไรมันลงตัวแล้วด้วยสิ
กลัวว่าประวัติศาสตร์ที่เคยเลิกกับแฟนคนก่อนจะซ้ำรอย
และกลัวอีกหลายๆอย่าง

ทั้งๆที่เป็นคนคิดเอง ตัดสินใจเองแท้ๆ

เพราะเมื่อก่อน ผมคิดอยู่เสมอว่าอยู่คนเดียวได้ อยู่ที่ไหนก็ได้ กินอะไรก็ได้ งานหนักงานเบาก็ไม่หวั่น ตำสอนที่พ่อแม่สอนมายังฝังอยู่คือให้ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน พึ่งพาคนอื่นให้น้อยที่สุด ต่อให้โลกนี้ไม่เหลือใคร เราก็ต้องอยู่ให้ได้

แต่วันนี้กลับมาผูกชีวิต ติดกับผู้หญิงคนหนึ่ง ... คนที่รู้จักกันไม่ถึงปี
แฟนคนอื่นไม่เคยเป็นแบบนี้ ห่างก็ห่าง เลิกก็เลิก ทนไม่ได้ก็ไม่ต้องทน
...
วันนี้ชีวิตมันเปลี่ยนไป
...
แต่ไม่สามารถหันหลังกลับได้แล้ว ตัดสินใจจะมาทางนี้แล้ว ก็ต้องไปให้สุดและต้องทำให้ดีที่สุด อย่าให้คนอื่นว่าเอาได้
...
เธอ ... นังโหด ... รู้ก่อนที่จะย้ายไม่ถึง 1 เดือน

เป็น 1 เดือนที่อึมครึมมาก ถ้าใครเคยแยกกันกับแฟนจะรู้ดี
เป็น 1 เดือนที่ไม่ใช่ว่าจะทะเลาะกันนะ เรียกว่าไม่ทะเลาะกันเลยจะดีกว่า
เป็น 1 เดือนที่เราจะได้อยู่ร่วมกันใต้ชายคาเดียวกันแบบนี้ และไม่รู้เมื่อไหร่จะได้มาอยู่ใต้ชายคาเดียวกันอีกครั้

ช่วงนั้น พยายามทำความเข้าใจกัน และพยายามใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมากที่สุด พยายามถ่ายทอดความรักไปให้อีกฝ่ายหนึ่งให้มากที่สุด เพื่อจะได้ไปทดแทนได้บ้างในวันที่ต้องแยกจากกัน

... แต่ ดูเหมือนว่ายิ่งเติมเท่าไหร่ ยิ่งว่างเท่านั้น และ ตามมาด้วยความกลัวว่าจะไม่ได้รับมันอีก
และพอยิ่งกลัวก็กลับไปยิ่งเติม และผลลัพธ์มันก็ยิ่งกลัวกว่าเดิม กลายเป็นวงจรอุบาทว์ไป
...

คืนสุดท้ายที่ได้อยู่ด้วยกัน แทบจะไม่ได้นอนกันเลย
พูดคุยกันทั้งคืน ตามมาด้วยข้อสัญญาและคำสั่งแปดแสนเจ็ดหมื่นข้อ จากฝ่ายหนึ่งให้อีกฝ่ายหนึ่
เพราะนี่จะเป็นสิ่งยึดเหนี่ยว เมื่อยามที่ต้องแยกจากกัน
...
วันรุ่งขึ้น เก้าโมงเช้า
รถกระบะสำหรับย้ายของก็มาถึง ...

น้ำตาหยดแรกของเธอหลั่งออกมา ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยแม้แต่ร้องไห้ให้เห็นสักครั้ง
แต่เธอก็ยังยิ้มอยู่ และส่งผมขึ้นรถโดยดี

ผมรู้ว่ามันคงจะเจ็บปวดมาก และเธอคงต้องปรับตัวใหม่ๆอีกหลายๆอย่างอีกครั้ง
...

พอเดินทางมาถึงโรงบาลแห่งใหม่
เอาของลง พยายามจัดของเข้าที่เข้าทางแบบง่ายๆก่อน
แล้วก็โทรหาเธอ

เวลานี้โทรศัพท์น่าจะเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่สุดยอดที่สุด ทำให้เราได้ยินเสียงกันและกัน และสามารถสื่อกันได้แม้จะห่างกัน

แต่ ... อยากเห็นหน้าของเธอ ... อยากได้กลิ่นเรือนผมของเธอ ... อยากสัมผัสเธอ ...

การที่จะมามัวคิดแบบนี้ไม่ได้ช่วยให้อะไรๆดีขึ้นแม้แต่น้อย จึงพยายามทำตัวให้ยุ่งมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
และการมาอยู่ที่ใหม่ๆ ทำให้สามารถทำใจยอมรับได้ง่าย

แต่ถ้าไปมองในมุมของเธอ ... เธอยังอยู่ในที่ที่ยังมีความทรงจำของเราสองคนอย่างมหาศาล
บ้านพักที่เคยอยู่ด้วยกัน แฟลตที่เคยไปเที่ยวเวลาว่าง เปิดประตูเข้าไปเจอตู้เย็นที่มีของขวัญที่ผมทำให้ เจอโซฟาที่เคยมานอนหนุนตัก เจอทีวีที่เคยดูหนังด้วยกัน
ในโรงพยาบาลก็เจอห้องตรวจ เจอห้องฉุกเฉิน ที่เคยทำงานด้วยกันมา
และอีกหลายๆอย่าง
เธอน่าจะทำใจได้ยากกว่าผมเยอะ
แต่เนื่องจากมีเพื่อนๆพี่ๆที่อยู่รายล้อม รวมทั้งครอบครัวที่อยู่ใกล้ๆ ก็คงพอที่จะพยุงเธอไปได้
...
หลังจากที่แยกกันอยู่คนละโรงพยาบาล

ความคิดถึงก็มากเป็นทวีคูณ แต่ผมเองก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะมีแต่รถมอไซค์
ก็เลยได้แต่เฝ้ารอให้เธอมาหาแทน เธอจะมาหาเวลาลงเวรเช้า บางทีลงเวรบ่ายก็จะมาหา
ระยะห่างราวๆ 150 กว่ากิโล แต่แม่คุณขับมาหายังกับออกมาซื้อน้ำปลาหน้าปากซอย
ไปกลับ ราวๆ 300 กิโล แต่ก็ไม่ได้ทำให้เธอลำบากอะไรเลยที่จะมาผู้ชายดีๆอย่างผม 555

แต่ละครั้งที่มาหากัน เป็นช่วงเวลาที่พิเศษมาก สัปดาห์ละ 3-4 วัน แต่บางครั้งก็เหมือนจะสั้นไปซักหน่อย
บางทีลงเวรเช้าตอนสี่โมงเย็น เธอก็มาถึงเกือบหกโมงเย็น พอเกือบๆสี่ทุ่มก็ต้องขับรถกลับไปขึ้นเวรดึกต่อ

วันหนึ่งก็ได้ตกลงกันว่าจะไปเที่ยวต่างจังหวัดกันหน่อย นานๆที
มีเวลาน้อยไปหน่อยคือ 2 วัน 1 คืน แต่ก็น่าจะโอเคแล้ว

ที่ที่เราไปคือ ไร่เลย์

เหมือนกับอยากย้อนความหลัง ถึงตอนที่เราไปเที่ยวด้วยกันครั้งแรก
ตอนนั้นที่ไปเพราะดันไปหลงเชื่อโฆษณาตัวหนึ่ง แล้วคิดว่าน่าจะเหมือนๆกัน
พอไปถึง ... พ่องงงงงงงงงงงงงงงงงง ... โคตรผิดหวัง
นี่มันดงรีสอร์ทชัดๆ มีแต่คนเต็มไปหมด มีรีสอร์ทกระจุกกันอยู่ ชายหาดก็ร้อนเปรี้ยงๆ ฝรั่งจับจองที่กันเกือบเต็มหาด

นี่กูมาทำอัลไล? ...

ที่ที่เค้าออกโฆษณา เป็นพื้นที่เท่าปลาทองดิ้นตายแถวริมๆด้านโน้นนนนนนน แค่นั้น ... นึกไปถึงเรื่องแดจังกึมที่ใช้บ้านหลังเดียวเป็นสถานที่ถ่ายทำ 555
แต่เป้าหมายของการมากครั้งนี้ ไม่ใช่แค่จะมาพักผ่อนเพียงอย่างเดียว
....
ใช่แล้ว ... ผมจะขอเธอแต่งงาน … และนี่จะเป็นเหตุผลเพียงข้อเดียวที่จะให้เธอมาอยู่กับผมให้ได้
...
..
.
พอก่อน ไม่จบแฮะ 555 พรุ่งนี้ละกันนะ น่าจะจบจริงๆละ

ปล. น่าจะจบก่อนจะได้จิ้นถึงนังบาลโหด 555

14

# โศกนาฏกรรมรัก (ของหมอ-พยาบาล) ณ โรงบาลบ้านนอก # ตอนที่ 14 #

เท้าความเดิมจากตอนที่แล้ว ... ได้พูดคุยกับนังโหดเรื่องเกี่ยวกับการย้ายโรงพยาบาลเพราะไม่ค่อยได้ถ่ายรูปซักเท่าไหร่ ...

ผมถามเธอว่า ... ไปด้วยกันมั้ย? เราอยากให้เธอไปด้วย
ไม่ ... บ้านเราอยู่ที่นี่ ... พ่อแม่อยู่ที่นี่ ... เพื่อนๆพี่ๆน้องๆ ก็อยู่ที่นี่ ... ทำงานที่นี้ก็สบายดีอยู่แล้ว ไม่อยากต้องไปเริ่มอะไรใหม่ๆ ... เธอตอบ
อือ ... ผมตอบไป
ในใจคิดว่าพอไว้แค่นี้ก่อนดีกว่า รบเร้ามากไปจะยิ่งบรรยากาศไม่ดีเปล่าๆ เพราะยังมีเวลาเหลืออีกหลายเดือนกว่าจะถึงรอบย้าย

ตอนนั้นได้โทรไปปรึกษากับทางจังหวัด เรื่องการย้าย
ทางจังหวัดก็แจ้งว่า ย้ายไปที่ใหม่ก็ดี เพราะรพ.ใหม่ที่จะย้ายไปมีหมอขอย้ายออก 2 คน เพราะลูกเข้าโรงเรียนในจังหวัด ถ้าไม่มีหมอไปแทนก็จะได้หมอใหม่ๆไปแทน ซึ่งถ้าเป็นไปได้ ในโรงพยาบาลมีหมออยู่หลายๆรุ่นก็คงจะดีกว่า

เอาล่ะ ... ได้มา 1 เหตุผลที่เข้าท่ากว่าถ่ายรูปละ 555
แต่ยังเอาไปต่อรองไม่ได้ ต้องรวบรวมข้อมูลมากกว่านี้ ก็เลยพักไว้ก่อน หาข้อมูลหาเหตุผลไปพลางๆ
...

เธอ ... ไปดูดวงกันมั้ย ... นังโหดถาม
ไม่อ่ะ .. ไม่เคยเชื่อ ... ผมตอบ

และก็นึกถึงเรื่องในอดีตตอนสอบเอนท์ทรานซ์ แม่ได้พาไปดูดวงกับหมอดูชื่อดังแถวบ้าน ว่าจะเอนท์คณะไหนดี ตอนนั้นผมได้ทุนเรียนต่อวิทยาศาสตร์ ที่ม.ชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ แต่ใจอยากเอนท์หมอมากกว่า พอไปถามแม่ แม่ก็ไปถามหมอดูต่อ ... หมอดูตอบแบบฟังธงว่า ไม่มีปัญญาเรียนหมอหรอก ให้เอาวิทยาศาสตร์ไป ... พ่องงงงงงง ... กูจะฝืน ... แล้วไงล่ะ ได้เป็นหมอซะด้วย ... ดังนั้นก็เลยเชื่อมาตลอดว่า ดวงของกู กูลิขิตเอง ...

เอาน่า ... ไปด้วยกันนะ ... หมอดูคนนี้แม่นมาก … นังโหดบอก
งั้นก็ได้ ... ผมตอบแต่ในใจคิดว่า ... เอาอีกละ แม่นอีกละ ก็ได้ กูจะท้าแม่งเอง ... ถ้ารู้จริง ไปแทงหวย ซื้อเบอร์ดีกว่ามั้ย? ...

... หลายวันต่อมา นังโหดก็พาไปหาหมอดู
หมอดูเป็นหมอดูโดยใช้ไพ่ ไพ่ที่ใช้ก็ไพ่ป๊อกเด้งธรรมดาหาซื้อได้ตามร้านค้าทั่วไปเนี่ยแหละ

ตอนนั้นก็ขอดูเรื่องพวกทั่วๆไปก่อน เริ่มจากนังโหด
ดวงก็ไม่มีอะไร ดีๆร้ายๆปนๆกัน

ส่วนตัวผมนั่งสังเกตไพ่อย่างเดียวว่ามีตุกติกอะไรมั้ย … แต่ก็ไม่เห็นมีอะไร
ตอนท้ายก็บอกว่าอยากดูดวงเรื่องชีวิตคู่ ... แต่หมอดูก็บอกว่าขอดูดวงผู้ชายก่อน

แล้วก็มาดูดวงผม เริ่มต้นจากให้ผมสับไพ่ ตัดไพ่ แล้วก็หยิบไพ่ออกมา 4 ใบ
หยิบเสร็จหมอดูเกิดอาการเหวอแดก ไม่ยอมดูต่อให้ แล้วก็ไล่ให้ออกไปนอกร้าน

... ผมหยิบได้ เอซ 4 ใบติด ... ไม่ได้เล่นตุกติกอะไรนะ หยิบมั่วไปนั่นแหละแต่มันดันออกแบบนี้
ความน่าจะเป็นที่จะหยิบไพ่ออกมาแบบนี้เท่ากับ 1 ใน 6,497,000 (หรือ 52 x 51 x 50 x 49)

หมอดูบอกก่อนไล่ว่าดวงแรงมาก ถ้าดูต่อหมอดูอาจถึงฆาตเอง
อ้าว ... เวรกรรม กะว่าจะจัดหนักหน่อย ...
แต่ยังโอเคหน่อย เพราะตอนที่หมอดูบอกนังโหดเรื่องการงาน บอกว่า ชีวิตจะต้องอยู่ห่างบ้าน ... อย่างน้อยก็ได้เหตุผลให้นังโหดเห็นด้วยกับการย้ายโรงบาลเพิ่มอีก 1 ข้อ ...
...

ต่อมาไม่นาน ดูท่านังโหดจะพยายามจะดูดวงให้ได้
คิดๆดูก็แปลกดีนะ ทำไมถึงจะอยากรู้ด้วย ไอ้คนที่ไปหาเชื่อได้รึเปล่าก็ไม่รู้ เหอะ

สมมติว่าไปดูดวงแล้วหมอดูบอกว่า ไปด้วยกันได้ หรือไปด้วยกันไม่ได้เนี่ย ถ้าเกิดไม่ตรงตามนั้น เรียกเอาเงินคืนพร้อมต้นและดอกได้ป่าว? เป็นอาชีพที่แปลกดีนะ ไม่ต้องรับผิดชอบห่าอะไรเลย

นังโหดพาไปหาหมอดูอีกเจ้านึงให้มันหลอกเอาอีก … คราวนี้เป็นแบบดูวันเดือนปีเกิดอะไรประมาณนี้
ประโยคแรกที่ขำสัสๆเลยคือ ถามว่าวันเกิดวันที่เท่าไหร่ ... ตามบัตรประชาชนน่ะ
นังโหดตอบไปว่า ... วัน XX เดือน YY ปี ZZ
ไอ้หมอดูแม่งก็พูดเพ้อเจ้อไปเรื่อยว่าคนเกิดวันนี้เป็นอย่างนี้ เป็นอย่างนั้น ชะตาเป็นแบบนี้
เอ๊ะ ... แต่ก็ตรงซะเยอะนะ
พอมันพูดเสร็จผมก็บอกว่า วันเกิดจริงๆน่ะวันนึง วันเกิดตามบัตรน่ะอีกวันนึงนะ

เอาล่ะสิ แม่ง หมอดูเงิบ ... ขำมาก

เพราะตอนที่นังโหดเกิด ... หมอที่ทำคลอดบอกว่าตายแน่ๆ ไม่รอดหรอก เพราะตัวเขียว หายใจริบหรี่ หัวใจไม่ค่อยเต้น
พอปู่กับย่าได้ยินแบบนั้นก็พาตัวนังโหดกลับไปที่บ้าน พาไปอาบน้ำตกแถวบ้าน กินน้ำมนต์อะไรเนี่ยแหละ สุดท้ายก็รอดตายมาได้ อีกเดือนกว่าถึงจะไปแจ้งเกิ
วันเกิดจริงกับวันเกิดตามบัตรก็เลยไม่ตรงกันด้วยประการฉะนี้

และด้วยความเงิบของหมอดู ก็เลยไล่เราทั้งสองออกไป ไม่ดูดวงต่อ กล่าวหาว่ามาแกล้งกัน
ตอนนั้นแบบว่า เดินอออกจากร้าน หัวเราะท้องแข็ง แม่ง หมอดูหน้าตาตลกมาก เหมือนกับว่าอุตส่าห์ไปหาข้อมูลมา พูดถูก แต่ดันดูผิดวัน ... อ้าว ก็บอกเองนี่หว่าว่าเอาวันตามบัตรประชาชน
...

หลังจากนั้นก็ล้มเลิกโครงการดูดวงไป ท่าทางฟ้าไม่อยากจะให้ใครเปิดเผยดวงของเรามั้ง
...

ผ่านไปอีกราวๆหนึ่งเดือน
ผมก็ชวนนังโหดมาอยู่ที่บ้านพักด้วยกัน เพราะก่อนหน้านี้ ถ้าเอาจริงๆก็แทบจะอยู่บ้านเดียวกันอยู่แล้ว
ก็มาอยู่บ้านเดียวกันซะเลย อะไรอะไรจะได้สะดวกหน่อย
เพราะยังไงๆ พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายก็รับรู้รับทราบ เราทั้งคู่ก็โอเค ... ก็เลยตัดสินใจย้ายมาอยู่บ้านพักด้วยกัน
แต่ก็มีกระแสมาบ้างนะว่าไม่เหมาะสม ไม่ควร ไม่อย่างนู้นไม่อย่างนี้
แต่ขออภัย ... ไม่สนล่ะ ช่างมันปากหอยปากปู …
...

การที่ได้ย้ายมาอยู่บ้านเดียวกับอีกเพศหนึ่ง เป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่พอดู

ด้วยความที่ระดับความใกล้ชิดเพิ่มมาอีกระดับ ทำให้สร้างความซาบซ่านได้เป็นอย่างดี

แต่ในอีกแง่หนึ่ง ใกล้ชิดกัน ก็ยิ่งเห็นความแตกต่าง ความไม่ดีของอีกฝ่ายมากขึ้นเหมือนกัน

ผมเองก็เริ่มกลับมาใช้นิสัยเดิมๆ คือมักง่าย กินตรงไหนก็ได้ ตั้งแต่ที่โต๊ะยันเตียงนอน กินเสร็จก็วางไว้แถวๆนั้น
กลับมาบ้านบางทีรองเท้าก็ไม่ถอด บางทีถอดรองเท้าแล้วถุงเท้าก็ไว้ไม่เป็นที่
เสื้อผ้านี่ยิ่งหนัก กางเกงใน กางเกงสแล็ก อยู่ตั้งแต่หัวเตียงยันในครัวเลยทีเดียว แถมยังอยู่ในสภาพอินฟินิตี้ หรือเลข 8 นั่นเอง

ส่วนเธอก็มีโผล่มาบ้าง อย่างเช่นเรื่องรองเท้าอลังการล้านแปดมาก วางซะแทบจะปิดประตูไม่ได้ จะวางนอกบ้านก็ไม่เอา จะให้วางในบ้าน
หมาของเธอก็ด้วย ก่อนหน้านี้มันอยู่ที่แฟลต ก็โอเคไม่เท่าไหร่ แต่พอมาอยู่ด้วยกันนี่ แม่ง รู้ได้เลยว่าหมาพุดเดิลเป็นหมาที่เห่าเก่งชิบหาย หนวกหูมาก แถมเลือกกิน กินแต่อาหารเม็ด แถมยังต้องเป็นของยี่ห้อดีๆ แล้วก็เปลี่ยนรสชาติไปเรื่อยๆอีก
เครื่องสำอางก็ด้วย โอ้โห จะมีอะไรขนาดนั้น ไปเป็นช่างทาสีบ้านเลยมั้ย มีครบทุกเฉดสี แถมยังมีอะไรอีกไม่รู้ แป้งนู่นนี่นั่น รองพื้น ครีม ฯลฯ สารพัดมาก จนทุกวันนี้ยังไม่อยากทำความรู้จักกับมันซักเท่าไหร่ เวลาจะออกไปไหนจะต้องมาเสียเวลากับกับกระบวนการทาสีบ้านนี่นานมาก

แต่ก็อย่างที่เคยบอกไปว่า ไม่มีใครที่ไม่มีข้อเสีย หากรับข้อเสียอีกฝ่ายได้ จะทำให้อยู่ด้วยกันไปได้ตราบนานเท่านาน

และข้อเสียเหล่านี้ก็เป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น เราทั้งสองก็รับของอีกฝ่ายได้
...
..
.
หลังจากนั้นผ่านไประยะหนึ่ง ...

ขณะที่กำลังขับรถเดินทางอยู
เธอ ... แต่งงานกันมั้ย ... ผมถาม
...
..
.
พอก่อนละกันนะ พิมพ์ทันแค่นี้ ... แหะแหะ

13

# โศกนาฏกรรมรัก (ของหมอ-พยาบาล) ณ โรงบาลบ้านนอก # ตอนที่ 13 #

ย้อนความเดินตอนที่แล้ว ... หลังจากได้ไปบ้านแม่ของนังโหด ได้รู้จักกับญาติๆนังโหดหลายๆคน ระหว่างทางกลับก็ได้คุยกันถึงเรื่องที่จะไปเที่ยวกัน
...
… 1 สัปดาห์ต่อมา ...
เวลาเชือดหมูที่เฝ้าคอยก็มาถึง
อุปกรณ์เชือดหมูพร้อมสุดๆ มีด่านป้องกันที่ 1 ด่านที่ 2 ด่านที่ 3 ...
เก็บไว้ในกระเป๋าเครื่องเขียน แอบไว้ในกระเป๋าถุงเท้า ซึ่งอยู่ในช่องลับ ที่อยู่ใต้กระเป๋า ...
พอดีเป็นคนรอบคอบและตอนเรียนก็ตั้งใจเรียนเรื่องนี้เป็นพิเศษ 555
… เสร็จนายพรานอย่างกูแน่ๆ ...
(แต่ไม่ได้เอาพวกยาสลบ ยากล่อม ฯลฯ อะไรแบบนั้นไปนะ เพราะถ้าเกิดผู้หญิงไม่เอาด้วยเนี่ย ... ตายห่าแน่ๆ)
...
และแล้วเวลาเดินทางก็มาถึง
... ณ ใต้แฟลตพยาบาล
พร้อมแล้วยัง ... ไม่ลืมอะไรแล้วนะ ... ผมถามในใจก็นึกถึงของ”จำเป็น”ของตัวเอง
อืมม์ ... เอ๊ะ กระเป๋าเหมือนกันเลย ... เธอบอก ขณะที่เอาของใส่ท้ายรถเก๋ง
... เวรกรรม ... ดันใช้กระเป๋าสหกรณ์เหมือนกัน ...
มีเทวดาแกล้งกูแหงมๆ ประมาณว่าพอจะใช้ของที่ “จำเป็น” แล้วเกิดหยิบกระเป๋าผิดลูกอะไรแบบนี้แหงๆ
...
อ้อ ... เหมือนกันเหรอ? ... งั้นเอางี้ ... ผมตอบแล้วก็เดินไปหยิบปากกาในรถ
... กระเป๋าลูกนี้ของเรานะ ... ผมบอกหลังจากที่เอาปากกาขีดหน้ากระเป๋าเป็นกากบาท
... เหอะๆ เทวดา ... อย่ามากวน ... คนหยั่งตู ฉลาดพอจะหาทางออกจากเหตุการณ์แบบนี้ ...
แล้วเราก็ออกเดินทางไป ระยะทางโดยประมาณน่าจะราวๆ 150 กม.
เดินทางไปก็คุยไปเรื่อยๆ แวะกินขนม แวะกินน้ำบ้าง แวะเยี่ยวบ้าง ... ไปแบบเรื่อยๆชิวๆ ตามสไตล์คนอารมณ์ดี
...
และแล้วก็เดินทางมาถึงอำเภอขนอม ขับรถเที่ยวทั่วๆก่อน พาไปดูรูปปั้นปลาโลมา พาไปดูแพปลา พาไปดูที่ที่จัดงานแอมเปิ้ลมูน (ample moon) ฯลฯ
แล้วก็พาไปที่หาดเพิร์ลฮาเบอร์ที่สอง วันนี้ไทยจีนจะหย่อนระเบิดใส่ไทยแท้
เส้นทางค่อนข้างจะลำบากสำหรับรถเก๋งพอสมควร เพราะเป็นทางดินปนหินก้อนใหญ่เล็ก มีร่องน้ำเซาะ แถมยังเป็นทางขึ้นเนินแคบๆขนาดประมาณ 3 เมตร ด้านนึงเป็นเขา อีกด้านเป็นทะเล ระยะทางขึ้นและลงน่าจะราวๆครึ่งกิโล
พอไปถึงจุดสูงสุดของถนนเส้นนี้ ... บอกเลยว่าคุณจะรู้สึกสุดยอดมากที่ยังมีที่แบบนี้หลงเหลืออยู่อีก
...
เดินทางเข้าเช็คอินที่พัก …
ที่พักเป็นบ้านไม้ทรงไทยบ้าง รูปทรงเรือบ้าง บ้านใหญ่ๆแบบสิบคนก็มี

ตอนนั้นเลือกเป็นบ้านไม้ที่มีชานหน้าบ้าน
ในห้องมีเตียงไม้และที่นอนขนาดคิงไซส์
เฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างเป็นไม้หมด
มีพัดลมแบบโบราณอยู่บนหัว
และมีห้องน้ำที่ออกจะดูธรรมดาๆด้านหลัง
ไม่มีทีวี ไม่มีตู้เย็น ไม่มีเครืองทำน้ำอุ่น ไม่มีกาน้ำ ไม่มีแอร์
...
เมื่อเทียบกับราคา พันกลางๆ ตอน 3 ปีกว่าๆก่อน ก็ถือว่ายังพอรับได้ แต่ถ้าเอาบรรยากาศมารวมด้วย ถือว่าโอเคเลยล่ะ
...
พอถึงห้องพัก ...
ไหนใส่ชุดว่ายน้ำให้ดูหน่อยดิ ... ผมเริ่มเลย ... รอมานานละ
เดี๋ยวดิ แดดยังร้อนอยู่เลย ... เธอบอก
เอาน่า ขอดูก่อน ... แดดร่มๆแล้วจะได้ไปเลยไง ... ผมบอก
ไม่เอาอ่ะ ... เธอตอบ แล้วก็กระโดดขึ้นเตียง
นอนด้วย! ผมบอกแล้วก็กระโดดไปใกล้ๆ
และก็พยายามไม่แตะเนื้อต้องตัวมากนัก ... มันไม่งาม แถมหมูที่จะถูกหามจะรู้ตัวด้วย ... รอเวลาก่อน

แล้วเธอก็ถามขึ้นมา ... เธอชอบเราตรงไหนเหรอ?
เอ่อ ...
เอิ่มมมมม ...
อ่า .....
ก็ไม่รู้เหมือนกัน ... ผมตอบ
บอกมาเถอะน่า อยากรู้ ทำไมเหรอ ... เธอถาม
ก็ ... ที่เธอเป็นเธอไง ... ผมตอบ
ไม่เอาแบบนี้ ... ยังไงอ่ะ ... เธอถามต่อ
งั้นเธอตอบก่อน เธอชอบเราตรงไหน? ... ผมถามกลับบ้าง
ไม่เอา ... เราถามก่อน ... เธอยังไม่ยอม
ถ้าเธอบอก เราก็บอกของเราด้วย ... ผมตอบ
ก็ไม่รู้เหมือนกันอ่ะ ... เธอตอบ
ก็นั่นน่ะแหละ ... เห็นมั้ย ... ผมบอกแล้วก็พูดต่อ ... ชอบกันรักกัน บางทีก็ไม่มีเหตุผลหรอก ..
อือ ... เธอตอบ
ไหนดูหน้าใกล้ๆหน่อยซิ ... ผมพูดแล้วก็เขยิบเข้าไป ...
อย่าน่า ... เขิน ... เธอตอบ
ทำไมอ่ะ ... เขินอะไร มีกันอยู่สองคน ... ผมบอก
อย่ามอง! … เธอตอบแล้วก็เอาหมอนมาปิดหน้า
ดูหน้าหน่อยสิ อยากดูชัดๆ ... ผมบอก แล้วก็มือขว้างหมอนออกไป
... พอมาดูท่าทางตอนนั้น ...
… ผมคร่อมตัวเธอไปแล้วเรียบร้อย ...
... และผมก็โน้มลง ...
... นี่ ... เธอ ... ผมพูด
.. เธอชอบเรามั้ย ... ผมถามต่อ
อือ ... เธอพูด แล้วก็หลับตาสนิทเหมือนกับซอสพริกเข้าตา
เค้ารักตัวเองนะ ... ผมโน้มตัวลงแล้วก็ไปพูดใกล้ๆหู
... เป้าหมายมีการสั่นน้อยๆ ..
ได้ผลแฮะ ... เริ่มรุกต่ออีกนิด
...
..
.
พลั่ก ...
เธอผลักที่หน้าอก แล้วก็เอาตีนถีบซ้ำอีกครั้ง ...
แล้วเธอก็รีบกระโดดลงจากเตียงพร้อมกับบอกว่า ... ไปเล่นน้ำกันเหอะ ... แล้วเธอก็เดินออกไป

เอาวะ ... เล่นน้ำก็เล่นน้ำ ... ผมคิดในใจ
แต่อย่างแรกเลยก่อนจะเล่นน้ำ ...
... ต้องกล่อมน้องชายให้หลับก่อน ...
...
... ที่ชายหาด ...
ชายหาดแห่งนี้ วันนี้สวยสุดยอดครับ น้ำใสๆ คลื่นไม่แรง
ชายหาดก็ดูแลดีมาก
คนก็ไม่มี ดูท่าแล้วน่าจะแต่เราทั้งรีสอร์ท
...
ใครเคยไปทะเลส่วนตัวกับแฟนบ้าง
บอกเลยนะครับว่า ฟินสุดๆ
ถ้ามันยอมใส่ชุดว่ายน้ำอ่ะนะ ... นังโหดเล่นทั้งเสื้อยืด กางเกงยีนขาสั้นเลย ...
จะเตรียมชุดว่ายน้ำมาทำแมวอะไร …
ช่างมัน ... เสื้อโดนน้ำก็ฟินใช่ย่อย 555
...
ก็เล่นน้ำกันไปเรื่อย ดำผุดดำว่าย ... ส่วนไอ้วิ่งหยอกล้อคิกคักนี่ น่าจะมีแต่ในหนังละมั้ง ... แม่ง บ้าไปแล้ว
ระหว่างที่เล่นน้ำ ก็ดวงดี เห็นปลาโลมาสีชมพู จุดเดินของอำเภอขนอม มาว่ายอยู่ ระยะห่างราวๆ 50 เมตรได้
...
และก็เล่นกันจนเกือบค่ำก็ขึ้นจากน้ำ
...
จังหวะนี้แหละ ...
...
พยายามทำเนียนว่าจะเข้าไปอาบเป็นเพื่อน ... แต่เหมือนนางจะรู้ทัน
รีบบอกไปก่อนเลย ... อาบตามสบายนะ เสร็จแล้วเรียกด้วย จะไปนั่งรอข้างนอก ...
เดี๋ยวหมูตื่น ... จะวืดไปอีก ... รอบนี้ต้องให้บรรยากาศพาไปให้ได้ ...
...
..
.
เสร็จแล้ว ... เธอตะโกนมาบอก
เธออยู่ในชุดนอนผ้าลื่นๆสีฟ้า
...
... อื้อหือ ...
แต่ดูได้ไม่นาน ... น้องชายกำลังจะตื่น ... ต้องรีบวิ่งเข้าห้องน้ำก่อน
...
เอาล่ะ ... จะทำอย่างไรดีล่ะ ... อาบน้ำไปคิดไปเรื่อยๆ ...
...
ในหัวเริ่มมีสงคราม A-B ขึ้นอีกครั้ง
... แต่ก็ยังหาผู้ชนะไม่ได้ ...
ตัดสินใจว่ารอดูท่าทีไปก่อน
... อาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ชวนเธอไปหาข้าวกิน ... แต่ก็จบลงที่รีสอร์ทแห่งนี้เพราะเส้นทางลำบากหน่อย ขากลับคงจะลำบาก
... ระหว่างที่กิน ก็นึกไปเรื่อยๆ แม้กระทั่งกะว่าจะมอมเหล้า แต่เวรกรรม ผมกินแอลกอฮอล์ไม่ได้ ...
สุดท้ายกินเสร็จก็ยังคิดไม่ออก
... เดินออกมาจากโต๊ะกินข้าว ...
ท้องฟ้าโคตรสวย ไม่มีแสงจากในเมืองมารบกวน
ฟ้าโล่ง มีดวงดาวเต็มไปหมด ดวงจันทร์เกือบจะเต็มดวง
ชายหาดทั้งหาด ถึงแม้จะไม่มีไฟ แต่ก็มองเห็นได้ชัดเจน
มีเสียงแค่เสียงคลื่น เสียงลม เสียงใบไม้ กับเสียงแมลงแค่นั้น
... นี่แหละ … ใช่เลย ... Intro ก่อนกินหมู
ผมชวนเธอไปนั่งที่หาด
พยายามชวนคุยไปเรื่อยๆ บิ้วด์บรรยากาศโรแมนติกสุดๆ
หึ หึ หึ หึ
เธอก็เริ่มๆเคลิ้ม เริ่มมาซบไหล่
มือผมก็ค่อยๆกระดึ๊บ กระดึ๊บ ไปทีละนิด ช้าๆ ... จนไปโอบไหล่
... จนดูเวลา เกือบจะสี่ทุ่มแล้ว ...
ก็เลยชวนเธอเข้านอนดีกว่า ...
...
..
.

... 1 เดือนต่อมา ...
หลังจากที่ได้ไปเที่ยวด้วยกัน ก็ได้ความทรงดีๆหลายๆอย่าง ... รวมถึง ”ครั้งแรก”
แต่จะเป็นครั้งแรกของอะไรนั้น ... ไปจิ้นกันเอง หึหึ
บอกได้แค่ว่า เหนื่อย เพลีย เจ็บ แต่สนุก ขอเพิ่ม และ แฮปปี้
...
..
.
และหลังจากนั้นก็ถึงเวลาแล้วละมั้ง ที่จะพาเธอไปบ้านผมบ้าง
ครอบครัวของเรา ออกจะมีส่วนคล้ายๆกันอยู่บ้าง แต่ก็แตกต่างกัน
จริงๆแล้วไม่ว่าจะเป็นคู่รักคู่ไหน ก็มักจะมีความแตกต่างอยู่เสมอ
สิ่งหนึ่งที่ผมเชื่อและทุกวันนี้ก็ยังเชื่อแบบนั้นอยู่ ... (ตอนงานแต่งของเรา ผมก็ได้พูดเรื่องนี้ออกไป)
ผมเชื่อว่า ความดี ความน่ารัก ความสวย ความหล่อ ฯลฯ ... สิ่งดีๆทั้งหลายไม่ได้เป็นปัจจัยหลักที่จะทำให้เราอยู่ด้วยกันไปตลอด แต่น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เรารู้จักกัน
แต่ความไม่ดี ความแตกต่าง นิสัย ฯลฯ สิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายต่างหาก ถ้าเรายอมรับมันได้ จะทำให้เราอยู่ด้วยกันได้
...
และด้วยความเชื่ออย่างนี้ ก็เลยเป็นสาเหตุให้ผมพานังโหดไปที่บ้านผมบ้าง
...
ผมก็ไม่รู้นะว่าเวลาคนอื่นๆ หรือเวลาผู้หญิงพาแฟนไปที่บ้านนี่เค้าทำอะไรบ้าง
แต่ผมนี่ต้องเตี๊ยมเลย ต้องสั่งห้ามบางอย่างไว้
เพราะเคยพาแฟนคนก่อนๆไป ... โดนเผาซะผมกลายเป็นขี้เถ้า
และก็ต้องบอกเธอไว้หน่อยว่า พ่อแม่พี่น้อง แต่ละคนเป็นยังไง ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร
แบบว่ากันเหนียวไว้ก่อน
...
วันนั้นก็มาถึง
เป็นวันที่กลัวมากที่สุดวันหนึ่งเลยทีเดียว
ตอนนั้นคิดไปเรื่อง จะเป็นอย่างนั้นรึเปล่า จะเป็นอย่างนี้รึเปล่า ฯลฯ
...
แต่พอพาเธอไปกลับผิดคาด
เธอเป็นแฟนคนที่ 5 ผมเคยพาแฟนไปที่บ้าน 3 คน
แต่ที่บ้านบอกว่าที่ผ่านมา คนนี้โอเคสุด เพราะเข้ากับที่บ้านได้ดีมาก ใช้ชีวิตแบบบ้านๆได้ พูดใต้ได้ วิถีชีวิตมีความใกล้เคียงกั
และที่สำคัญ…
ร่วมวงเผากูกันอย่างสนุกสนาน ... ยังกะวงแลกเปลี่ยนเรียนรู้
ทางครอบครัวก็เผาเรื่องราวในอดีต
ทางนังโหดก็เผาเรื่องในปัจจุบัน
... แหม่ ... เกรงใจกันหน่อย ... นั่งฟังอยู่เนี่ย
...
แต่ก็ถือว่าเป็นที่น่าพอใจ ... เพราะผลสรุปคือทางครอบครัวไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป ...
แต่จริงๆแฟนคนก่อนๆก็ไม่ได้มีปัญหานะ เพราะในครอบครัวผม แม่จะบอกเสมอ ลูกรักใคร แม่ก็รักคนนั้น ... แม่พูดตลอดมา ตั้งแต่พี่ชายคนโตมีแฟนก็ได้ยินมาตลอด
...
..
.
อยู่มาวันนึง
... ระหว่างกินข้าวเย็น
เธอ ... เรามีเรื่องจะบอก ... ผมบอกเธอ
อะไรเหรอ ... เธอถามมา
เราอยากย้ายโรงบาล ... ผมบอกไป
ไม่เอา ... ไม่ให้ย้าย ... เธอตอบ
ฟังก่อนสิ ... ผมบอกไป
ทำไมถึงอยากย้ายล่ะ ... เธอถาม
อยากถ่ายรูป ... อยู่ที่นี้ เดือนนึงได้ออกไปถ่ายแค่ 1 – 2 ครั้งเอง ... ผมบอก
ก็ออกไปบ่อยๆสิ ไม่เห็นเป็นไรเลย ... เห็นบางทีก็ไปนั่งอยู่แถวกอหญ้า ก็ถ่ายได้แล้วนี่ ... เธอบอก
มันไม่เหมือนกันอ่ะ ... โรงบาลที่จะย้ายไป แค่มีเวลาแป๊ปเดียวก็ไปถ่ายได้แล้ว ... น่าจะถ่ายได้ทุกวัน หรืออย่างน้อยๆก็ได้เดือนละ 10 ครั้ง ... ผมแย้งไป
ลองคิดดูดีๆก่อนสิ ... อยู่ที่นี้ก็สบายดีอยู่แล้วนี่นา ... ทำไมต้องย้ายด้วย ... ไม่พอใจใครรึเปล่า ... เธอถาม
เปล่านา ... ไม่ได้มีปัญหากับใคร ... แต่อยากถ่ายรูป ... เธอก็รู้นี่ ... ผมตอบไปและนั่นก็คือเหตุผลจริงๆ
... งั้นก็ตามใจ ... เธอตอบแต่เริ่มออกอาการหงุดหงิด
ไปกับเรามั้ย ... ผมถาม
...
..
.
พอก่อนนะ ยาวมากแล้ว
ปล. ที่โดนผลักตอนที่ไกระซิบข้างๆหู ไม่ได้เพราะเสียวสยิวหรอก แต่เธอจั๊กจี้
ปล2. ที่จะย้ายก็เพราะจะไปถ่ายรูปจริงๆ ไม่ได้มีจุดประสงค์อื่น
ปล3. เผื่อไว้ก่อน อาจจะพิมพ์ผิด พิมพ์ตก ... นังโหดไม่ได้ชื่อเอนะ แต่ตัว ธ มันกดไม่ค่อยติด

12

# โศกนาฏกรรมรัก (ของหมอ-พยาบาล) ณ โรงบาลบ้านนอก # ตอนที่ 12 #

เท้าความเดิมตอนที่แล้ว ... เธอบอกว่าหลังจากลงเวรบ่ายตอนเที่ยงคืนครึ่งจะมหาที่บ้าน ดังนั้นหน้าที่สุภาพบุรุษที่ดีคือการรู้จักอุปกรณ์ป้องกัน ... แต่มันไม่ง่ายเลย ...

ความคิดแว๊บขึ้นมาในหัว ... ที่นั่นน่ะเอง ... ที่ที่มีวันพีซอยู่
...
เซตล็อคโพสเรียบร้อย มุ่งหน้าสู่วันพีซ
...
แอบไปจอดรถข้างๆโรงบาล ใกล้ๆฝ่ายเวชฯ ทำท่าเหมือนกับว่าจะไปทำธุร
เดินเฉี่ยวไปเฉี่ยวมา
มีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งอยู่ในห้อง
...
ทำไงดี?
...
จะอ้างแบบไหนดีเพื่อให้ได้วันพีซมาครอง ... บอสตัวสุดท้ายแล้ว(มั้ง)
...
เอาไปแจกเด็กนักเรียน? ...... สองทุ่มเนี่ยนะ
เอาใช้เอง? ....... ยิ่งเป็นข่าวลืออยู่ด้วยซวยแหงๆ
เอาไปทำไรดี .....
....

..
เอาไปสอนไง! เพื่อการศึกษา ... เอาไปเตรียมบทเรียนก่อน ... อืมม์
เหมาะมากๆ
เอาล่ะ ข้ออ้างพร้อม น้องชายพร้อม ... เดินไปหาเจ้าหน้าที่คนนั้น
...
เอ่อ ... พี่ครับ ผมจะมาขอถุงยางไปเตรียมสอนนักเรียนหน่อยครับ … ผมพูดและพยายามตีหน้าให้เนียนที่สุด
...ขอซัก 4-5 อันนะครับ เผื่อไว้ ... ผมพูดต่อ
ได้เลยหมอ ... เดี๋ยวพี่หยิบให้ ... พี่จนท.คนนั้นตอบแล้วก็เดินไปที่ตู้เก็บอุปกรณ์
...เยส! วันพีซ! กำลังจะมาแล้ว ... สู่จักรวาลอันเวิ้งว้าง!

..
.
ทำไมไม่มา? ผมนั่งรออยู่ราวๆ 5 นาที

แล้วก็เดินเข้าไปถามพี่จนท.
หาเจอยังครับ .... มีรึเปล่า? ผมถาม
แปปนึงนะหมอ ... สงสัยอนามัยเค้าเบิกไปหมดแล้ว ... พี่จนท.ตอบมา
...
..
.
หมูตัวนี้ ... มันอึดชิบหาย ...

สงสัยต้องกินดิบๆ! วิญญาณสัตว์กินเนื้อเข้าสิง
...
แล้วก็เดิน ค. ตก (อ่านว่า เดินคอตก) กลับไปที่รถแล้วก็กลับบ้าน
...
ไปเล่นเกมส์รอพลางๆละกัน
...
และแล้วก็เวลาเที่ยงคืนครึ่ง ... เสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้
รีบกระโดจาก X-box 360 ทันที ...
ฮัลโหล ... ตัวเองเหรอ ... อยู่ไหนแล้ว … เดี๋ยวไปเปิดประตูให้นะ … ผมรีบพูดทันที
... โหล ... หมอเหรอ ... พอดีเรามีรีเฟอร์นะ ... คงไม่ได้ไปแล้วล่ะ ... แค่นี้นะ คนไข้ใส่ทิวบ์ ... เธอตอบ
...ตู๊ดตู๊ดตู๊ดตู๊ด

..
.
อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!
กะว่ากินดิบๆยังไม่ได้เลยเหรอวะเนี่ยยยยยยยยยยยยยยยยย!

..
.
วันต่อมา ...
และ หลายวันผ่านไป
กิจวัตรต่างๆก็ดำเนินไปปกติ ... โอกาสจะหามหมูก็ไม่มีเลย
จนกระทั่งวันหนึ่ง
...
เธอ ... พรุ่งนี้เราจะกลับบ้านอ่ะ ... พอดีแม่ให้ไปเอาของ ... นังโหดพูดขึ้นระหว่างกินข้า
ได้สิ ... จะให้ไปด้วยป่าว? ... ผมถาม
ไปด้วยได้มั้ย ... แม่บอกว่าอยากเจอด้วย ... เธอตอบ
อื้อ ... บ้านแม่อยู่แถวไหน? ผมถาม
ก็ห่างจากโรงบาลไป 30 กิโลได้ ...เธอตอบ
เอาสิ จะไปตอนไหนก็บอกนะ พรุ่งนี้วันหยุด ไม่ได้อยู่เวรด้วย ... ผมบอก
...
วันต่อมา
... ถามก่อน ... คุณเคยไปบ้านแฟนมั้ย? โดยเฉพาะไม่เคยเจอกันมาก่อน ...
สิ่งแรกที่กลัวคือกลัวพ่อแม่เค้าจะไม่ให้คบกัน แต่ดูท่าทางนังโหดแล้ว ต่อให้พ่อแม่ห้ามก็ไม่น่าจะฟังซักเท่าไหร่
สิ่งที่กลัวต่อมาคือ กลัวเค้าจะไม่ชอบ หรือ จะไปทำอะไรแปลกๆเข้า ... อันนี้แหละที่กลัวจริงๆ เพราะปกติแล้วผมเป็นคนที่ไม่ค่อยมีสัมมาคาราวะซักเท่าไหร่เลย แถมบางที่พูดตรงๆก็บ่อย ญาติผู้ใหญ่ของตัวเองก็หน้าแหกกันไปเยอะแล้ว ... ฉะนั้น ... นี่แหละที่กลัว
...
เช้าวันเสาร์ ... เวลาประมาณ 10 โมง ... ก็ออกเดินทางกันเพื่อไปบ้านแม่ของนังโหด
ระหว่างทางถามนังโหดตลอดว่าแม่เป็นคนยังไง ชอบอะไรมั้ย ซื้อไรไปฝากดีมั้ย ต้องทำตัวแบบไหน พูดกลางหรือพูดใต้เลย ฯลฯ
ถามซะจนนังโหดน่าจะเริ่มรำคาญ ก็เลยหยุดถามไป
... จนเดินทางมาถึงบ้านแม่นังโห
จอดข้างหน้านี้นะ ตรงที่ต้นไม้ใหญ่ๆนั่นน่ะ ... เธอบัญชา
อื้อ ... หลังนั้นเหรอ ... ผมถาม
อือ ... เธอตอบ
ทำไมรถเยอะจัง มีงานเหรอ? ... ผมถาม
ก็ป่าว สงสัยญาติๆมาบ้านมั้ง ... เธอตอบ
... แล้วก็จอดรถ ... เดินลงไป ... พยายามปั้นหน้าสุดๆว่าเป็นคนดี เรียบร้อยนะครับ!
แล้วเธอก็พาเดินไปหาแม่เธอ ...
ระหว่างทางเธอก็เจอคนรู้จัก ... แล้วก็แนะนำให้รู้จักกับผม
...
สิ่งที่น่ากลัวแต่ไม่ได้คาดคิดมาก่อนคือ ...
...
..
.
แต่ละคนคือคนที่ผมเคยตรวจแถมยังถูกผมสอน/เอ็ด ที่โรงบาลมาแล้วทั้งนั้น ...
ความทรงจำหวนไปถึงห้องตรวจ ...
ป้าคนนั้นเป็นเบาหวาน ไม่คุมให้ดี โดนจัดชุดใหญ่
ลุงคนนั้นเป็นตับแข็งยังกินเหล้าอยุ่ ก็โดนชุดใหญ่กว่า
น้าคนนั้นเมาขับรถจนเกิดอุบัติเหตุ ไม่ยอมสวมหมวก ตอนมาโรงบาลไม่ยอมทำแผล แถมไม่ยอมเสียตังค์ก็โดนไปไม่น้อย
ยายคนนั้น มีโรคเรื้อรัง กินยาบ้างไม่กินยาบ้าง โดนสอนไปยาวๆแถมนัดถี่ๆ
พี่สาวคนนั้น มาคุยโทรศัพท์ในห้องตรวจ ก็ถูกตะเพิดให้ไปเข้าคิวใหม
...
..
.
นี่มันดงคู่อรินี่หว่า ... เอาน่ะ ... เค้าคงจำเราไม่ได้มั้ง ... (คงใช่หรอก!!!) … แต่
ญาติๆทั้งผู้ใหญ่และเด็กของเธอเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ... ยกมือไหว้ผมก่อน ...เพราะทักคนนู้นอยู่ดีๆ คนนี้ก็เข้ามา แล้วคนโน้นก็มาอีก ...

เหยดดดดดดดดดดด .... ด ... ทำตัวไม่ถูก
...
หมอ ... คนนี้แม่เรา ... เธอบอก
ผมเลยหันขวับ ... สวัสดีครับแม่ ... พยายามไหว้ให้เป็นกุลสตรีมากที่สุด
เข้ามาในบ้านก่อนสิ
ในบ้านก็มีญาติอีกหลายๆคนนั่งอยู่ วนลูปเหมือนตอนข้างต้นเดี๊ยะๆ
...
นี่ ... เธอ ... เค้ามาทำไมกันน่ะ ... บ้านเธออยู่กันเยอะอย่างนี้เลยเหรอ ... ผมถาม
สงสัยแม่แกนั่นแหละ ... ไปบอกว่าเราจะพาลูกเขยที่เป็นหมออยู่ที่โรงบาลมา ... เธอตอบ
เฮ้ย ... นี่มันไม่ใช่แล้วอ่ะ ... เอาของแล้วยัง? ผมถาม
นั่งรอนี่ก่อนนะ เดี๋ยวไปถามแม่แปปนึง ... พอดีแม่น่าจะไปเอาของอยู่หลังบ้าน … เธอบอกแล้วก็ลุกไป
...
ลูกหมอ ... เป็นคนที่ไหน? ยายคนนึงถามมา
เป็นแฟนกันนานแล้วเห้อ? ... ป้าอีกคนก็ถาม
เป็นหมอที่โรงบาลนี้ใช่ม้าย? ลุงคนนึงก็ถามอีก
หมออายุเท่าไหร่แล้ว? หมอจบที่ไหน? หมอรู้จักคนนั้นม้าย? หมอกินข้าวแล้วยัง? ยายเจ็บตรงนี้เป็นไหรไม่รู้? หมอกลับตอนไหน? หมอ หมอ หมอ ฯลฯ
คำถามเป็นสิบเป็นร้อยตามมาตอบเท่าที่ฟังทัน บางอันตอบแล้วก็ถามอีกเพราะมันเจี๊ยวจ๊าวซักหน่อย แถมบางทีก็เป็นคนแก่หูตึง
...
พอ! พอได้แล้ว ค่อยแหลงกันวันหลัง หมอต้องไปทำงานต่อหลาว ... นังโหดมาหยุดคลื่นคำถามไว้
หวัดดีนะจ้ะ ลุง ป้า ยาย ฯลฯ ... หมอขอตัวก่อนนะ ... ผมตอบ
เป็นสุขเป็นสุขนะลูกเห้อ รักกันนานๆ มีหลานให้ยายไวๆ ... ยายคนนึงจับแขนแล้วพูดออกมา
ยาย ... ยังไม่ได้แต่งกันที ... ไปก่อนนะยาย ... นังโหดบอกแล้วก็มาแกะแขน พาผมออกไปสวัสดีแม่ของเธอ แล้วก็พาไปที่รถ
ตอนเดินขึ้นรถก็เหมือนตอนขามา ... หวัดดีทักทายยังกะเป็นสส.
แล้วก็ขึ้นรถกลับ ...
มาเอาไรเหรอ? ... ผมถามเธอบนรถ
เอากับข้าวน่ะ ... เธอบอก
อ๋อ ... ผมตอบ
แล้วเรื่องที่ไปเที่ยวสัปดาห์หน้าตกลงว่าแลกเวรได้แล้วยัง? ผมถาม
อื้อ ... ได้แล้วนะ ... จะไปที่ไหนเหรอ? เธอถาม
ก็ไปขนอม ... นครฯน่ะ ที่เคยบอกว่าทะเลสวย เป็นเหมือนหาดส่วนตัว ผมตอบ
ก็ดีนะ ไม่ได้ไปทะเลตั้งนานแล้ว แต่ที่ขนอมมีแบบนั้นด้วยเหรอ เธอถามต่อ
อือ น่าจะมีที่เดียวนี้แหละ น่าจะคล้ายๆไร่เลย์สมัยก่อน แต่เสียอยู่อย่างนึง ผมตอบ
อะไรเหรอ?เธอถาม
ก็ไม่มีทีวี ไม่มีตู้เย็น ไม่มีแอร์ คลื่นโทรศัพท์ก็ไม่ค่อยดี แถมทางไปก็ต้องขึ้นเขาทางลูกรังน้ำเซาะ ... ลำบากหน่อยแหละ ... ผมตอบ
โห ... แต่ก็ไม่เป็นไรหนิ ... จะได้อยู่กันสองคน ... เธอตอบ
อัยยะ ... มาหอมแก้มทีดิ๊ ... ผมตอบพร้อมกับชะลอเพื่อจอดรถแล้วก็จุ๊บแก้มไปหนึ่งที
...
..
.
สัปดาห์ต่อมา ...
... พรุ่งนี้ละกันนะ ... เที่ยงๆ บ่ายๆ เย็นๆ ไม่ก็ดึกๆ

11

# โศกนาฏกรรมรัก (ของหมอ-พยาบาล) ณ โรงบาลบ้านนอก # ตอนที่ 11 #

เท้าความเดิมจากตอนที่แล้ว ... นังโหดได้มาหาที่ห้องพักหมอเวร และได้นั่งคุยกันไปกินข้าวไป (ข้าวที่เธอซื้อมาให้เมื่อตอนเย็น) แต่เธอดันจับติดว่าไปหลอกเธอเรื่องอดนอนและกินข้าวคลุกมด ... เธอเลยหนีไป

เดี๋ยว! .... ผมเรียกเธอ
อย่าตามมา ... ไปนอนเถอะ ... เธอตอบแล้วก็เดินหนีไปเรื่อ
ผมรีบเดิมตามและคว้ามือเธอไว้
รอก่อนสิ ... คุยกันก่อนได้มั้ย ... ผมบอกเชิงขอร้อง
ไม่มีอะไรต้องคุย ... เธอตอบมา
มีสิ ... หันมานี่ก่อน ... ผมบอกเธอ
ไม่ ... เธอตอบ
ผมเลยดึงแขนเธอมาแล้วกอดไว้
... ใจเย็นๆ ... เราไม่เป็นไร ... แค่นี้เรื่องเล็กน่า ... ผมบอกเธอ
... เธอไม่ตอบอะไร
นะ ... วันหลังจะไม่โกหกแบบนี้อีกแล้ว ... นะ ... เราขอโทษนะ ... ผมบอกเธอ
สัญญา? ... เธอถาม
อือ ... สัญญา ... ผมบอก
ปล่อยเถอะ ... ไม่เป็นไรแล้ว ... คนอื่นมองอยู่ ... เธอบอกต่อ
อืมม์ ... ผมตอบแล้วก็ปล่อยตัวเธอ ... แต่ยังไม่ปล่อยมือ
กลับไปห้องพักเวรเถอะ ... เธอตอบ
ไปอยู่เป็นเพื่อนหน่อยได้มั้ย ... แบบว่ากลัวผีอ่ะ ... ผมบอกไป พยายามเปลี่ยนบรรยากาศ
ไม่อ่ะ ตัวเหม็น ... เธอบอก
เพิ่งอาบเมื่อวานเองนะ ... หรือตัวเธอเหม็น? ... ไหนลองดมดูหน่อยซิ ... ผมบอกเสร็จก็เอามืออีกข้างไปจับที่หลังหัวแล้วก็จูบไปที่ผมเธอ แล้วก็ปล่อยหัวเธอ
ไม่เห็นเหม็นเลย ... หอมออก ... ผมบอก
อย่าน่า ... บอกว่ามีคนอื่นดูอยู่ ... เธอบอกต่อ
อ้อ ... บอกว่าตัวเหม็น ไม่ใช่หัวเหม็นนี่นา ... สงสัยดมผิดที่ ... มาดมใหม่อีกที ... ผมบอกไปแล้วทำท่าจะเอามือจะไปรวบตัวเธอ
เธอดิ้น สะบัดมือ แล้วก็วิ่งไป ... เดี๋ยวถึงห้องแล้วจะโทรหานะ ... เธอหันมาบอก
โอเค ... แล้วจะรอนะ ... อย่าให้รอเก้อล่ะ ... ผมตะโกนบอก
...
แล้วผมก็เดินกลับ ... ระหว่างเดินกลับ ติดในใจว่า ไปห้องฉุกเฉินก่อนดีกว่า เผื่อมีเคสจะได้ไม่มารบกวนเวลาจะคุยโทรศัพท์
...
ห้องฉุกเฉิน ...
...
มีเคสมั้ย ... ผมถามพยาบาลนู่น
ไม่มีค่ะหมอ ... ไปพักเถอะค่ะ ... พยาบาลนู่น
อืม ... มีอะไรก็โทรตามนะ ... ผมบอกไป แต่ในใจคิดว่า อย่าโทรเลยนะ ขอร้องงงงงงงงง
ค่ะ ... พยาบาลนู่นตอบ
ผมก็หันหลังเดินกลับไปที่ห้องพักเวร
อย่าเค้ารอเก้อนะตัวววววววววววว ... เสียงพยาบาลนี่ ตะโกนมา
หัวหอมจังเลยยยยยยยยยยยยย ... เสียงพยาบาลนั่น เสริม
ผมรีบเดินหนีอย่างเร็ว ... แม่งโคตรอาย ... นี่มันแอบดูกันหมดเลยเรอะไง
...
พอถึงห้องพักแพทย์ ผมก็นอนรอโทรศัพท์ไปเรื่อยๆ จนเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา … จากนังโหดนั่นเอง
... แล้วก็คุยโทรศัพท์กัน คุยสัพเพเหระ รวมถึงเรืองที่ถูกล้อเมื่อกี้ด้วย ... เราก็ได้วางแผนกันว่าจะเอาไงดี พรุ่งนี้ได้ดังทั้งโรงบาลแหงๆ เพราะเป็นแค่โรงบาลอำเภอเล็กๆเอง
... แต่สุดท้ายก็คงต้องยอม
... หลังคุยเรื่องนี้จบก็คุยเรื่องต่างๆไปเรื่อยๆ จนรู้ตัวอีกทีตอน 6 โมงเช้า ... หลับคาโทรศัพท์ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสติหายไปตอนไหน ...
ตื่นมาก็ไปแอบดูที่ห้องฉุกเฉิน ... ด้อมๆมองๆ ไม่กล้าจะเดินเข้าไปถามว่ามีเคสมั้ย ... ห้องฉุกเฉินว่าง คงไม่น่าจะมีเคส
...
แอบไปที่มอไซค์ แล้วก็ขับออกไปหาอะไรกินมื้อเช้า
...
ลองโทรหาดีกว่า
... ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด
ฮัลโหล หมอเหรอ? ... เธอตอบด้วยน้ำเสียงงัวเงีย
อ้าว ... หลับอยู่เหรอ ... งั้นนอนต่อเถอะ เดี๋ยวซื้อไก่ไปฝาก หรือว่าจะเอาอย่างอื่นมั้ย .... ผมถาม
ไปด้วยได้มั้ยอ่ะ ... เธอถาม
ก็ได้ เดี๋ยวไปรอใต้แฟลตนะ ... ผมตอบไปด้วยน้ำเสียงดีใจ
รอแปปนึงนะล้างหน้าแปรงฟันแปปนึง ... เธอบอก
อือ ... ผมตอบไป

... 15 นาทีต่อมา ...

มาแล้วค่ะ ... เธอเรียกผมพร้อมกับสะกิดที่หัวไหล่
อืมม์ ไปกินไรกันดี ... ผมตอบแล้วก็หันหน้าไป
...
เธอใส่เสื้อนอนผ้าลื่นๆไม่หนาซักเท่าไหร่ เสื้อก็ไม่บางจนเห็นไหนต่อไหน ... แต่พอจะทำให้นึกรูปร่างออก
กางเกงใส่แบบกางเกงขาสั้นเสมอหู ผ้ายืดๆ คล้ายๆกางเกงออกกำลังกายของผู้หญิง
ผมยุ่งๆนิดๆแต่ก็ไม่ได้ถึงกับรกมาก แต่ก็พอเดาไม่ยากว่าเพิ่งตื
...
NO! ไม่เอาชุดนี้ ... ไปเปลี่ยนชุดเลย ... ผมบอกทันทีที่เห็น ...พลังทำลายล้างสูงเกินไป
ทำไมล่ะ? ไม่โป๊ซักหน่อย ... เธอถาม
ไม่ได้ๆ ไปเปลี่ยนเถอะ ... ผมตอบ
งั้นรอแปปนึงนะ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน ... เธอยอมแล้วเดินขึ้นบันไดไป
อือ ... กางเกงยาวๆ ใส่เสื้อคลุมมาด้วยนะ ... เอ่อ ... อากาศมันเย็นน่ะ ... ผมตะโกนบอกตามหลังเธอไป
...
สิบนาทีต่อมา
...
ได้ยัง ... ชุดนี้อะ ... เธอบอก
เธอมาเสื้อกีฬา ใส่เสื้อแจ๊คเก็ตของพยาบาลทับ กางเกงเป็นกางยีนส์สามส่วน
อือ ... ต้องแบบนี้สิ ... ผมบอกแล้วก้ยิ้มให้
... หมอนี่ก็แปลกดีนะ ... ฮิ ฮิ ... ไปหาอะไรกินกันดีกว่า ... เธอบอก
ขึ้นรถสิ ... ผมบอกเธอ
เดี๋ยวสิ รถมันใหญ่แล้วก็สูงด้วย ... เธอบอกทั้งๆที่พยายามยกขาขึ้นมาให้ได้ แต่ก็ไม่ถึง
จับไหล่เราแล้วก็ยกตัวขึ้นสิ ... ผมเสนอแนะไป นึกถึงตอนเล่นกระโดดยางตอนเด็กๆ
อึ๊บ ... อุ๊ย ... ขอโทษ ... เธอบอกเพราะเหวี่ยงขาแล้วมาโดนสีข้างผม
ผมเลยลงจากรถ ขึ้นแสตนด์ไว้ ... แล้วก็เอามือสอดใต้รักแร้เธอเพื่อยกขึ้นรถ
ไปกันได้แล้วสินะ 555 สูงเท่าไหร่เนี่ย ... ผมกวนไปแล้วก็ออกรถไป
ก็ 150 ได้มั้ง ... หมออ่ะ ... เธอถามบ้าง
วัดเมื่อ 2 ปีที่แล้ว 188 น่ะ ... ตอนนี้น่าจะ 190 ได้แล้วมั้ง ... ผมบอก
โห.... เธอคงจะตะลึง
150 เนี่ย เท่ากับเราตอน ป2. เลยนะ ไม่ต้องกังวลหรอก 555 ... ผมหยอกต่อ
… ระหว่างนั้นก็ขับรถออกไปเวียนหาร้านข้าวกินแถวๆตลาด ...
ถ้ามีลูกคงจะเป็นแบบคนปกตินะ ... เธอพูดขึ้นมา

... หือ? นี่คิดไปถึงมีลูกแล้วเหรอมึง? ... ผมคิดในใจ

อือ ชอบผู้หญิงตัวเล็กๆก็เพราะแบบนี้แหละ ... ผมตอบ
... เพี๊ยะ ... เสียงเธอตีเข้ากลางหลัง ...
... แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรเพราะหนังหนาอยู่แล้ว ...
เอาร้านนี้มั้ย ... เคยมากินกับพี่นู่นพี่นี่ อร่อยดีนะ ... เธอบอก
เอาสิ ... ผมตอบแล้วก็จอด ตรงหน้าร้านเกาเหลาเลือดหมูแผงลอยร้านหนึ่ง
เธอเอาไรอ่ะ ... ผมถาม
ธรรมดาถ้วยนึง ... เธอตอบ
ไปนั่งก่อนนะ เดี๋ยวเดินไปสั่งแปปนึง ... ผมบอก
... ธรรมดาถ้วยนึง ... พิเศษไม่เอาเซียงจี้ ม้าม ปอด ถ้วยนึง ... ข้าวสามถ้วย ... ผมเดินไปสั่งที่ป้าเจ้าของร้านแล้วก็กลับมานั่งกับนังโหดต่อ
แล้วก็นั่งคุยไปพลางๆ .... พอเกาเหลามา
อ่ะ ... อาวุธ ... ผมบอกพร้อมยื่นตะเกียบและช้อนให้ แล้วเธอก็รับ
ระหว่างที่กำลังทาน ... เห็นท่ากินของเธอแล้วรู้สึก ... ยังไงดีล่ะ ... สงสารปนสมเภชมั้ง
ทำไมกินแบบนั้นอ่ะ ... กินกับตะเกียบต้องพุ้ยข้าวแบบนี้ ... ผมบอกแล้วทำให้ดู
แล้วเธอก็ทำตาม ... เหอะ ... แรงกว่าเดิม
กินกับช้อนดีกว่ามั้ง ... กินกับตะเกียบมันต้องฝึกนิดนึงก่อน ... ผมแนะนำ
แต่เธอก็ยืนยันจะกินกับตะเกียบต่อ ...
พุ้ยข้าวไป 100 เม็ด ร่วงลงในถ้วย 80 หล่นลงข้างถ้วย 15 เข้าปากไปแค่ 5
...
แต่ก็น่ารักดี ... 555 Bias สุดๆ
...
หลังจากกินกันเสร็จก็ไปขับรถเที่ยวทั่วๆ (ตอนขึ้นรถก็เหมือนเดิมคือต้องยกขึ้น) แล้วก็กลับมาที่โรงบาลกัน
... แหม่ ฟินแต่เช้า
แล้วก็แยกย้ายกันที่ใต้แฟลต
...
วันนั้นทั้งวันเรียกได้ว่าทำงานคนละฟีลกับเมื่อวาน ... วันนี้แฮปปี้สุดๆ คนไข้กวนๆวันนี้ไม่โดนของ
ถึงแม้จะมีโดนล้อบ้าง แต่ก็ไม่เป็นไร วันนี้อารมณ์ดี
...
แล้วก็หมดเวลาราชการที่ 4 โมงครึ่ง นังโหดอยู่เวรบ่ายต่อ ส่วนผมไม่ได้อยู่เวร
...
กินไรเหรอ เดี๋ยวซื้อมาให้ … ผมถามเธอ
อะไรก็ได้ กินได้หมดแหละ ... เธอตอบ
... จู่ๆก็นึกอะไรบางอย่างออก ...
งั้นรอก่อนนะ อย่าเพิ่งกินไรล่ะ ... ผมบอก
อื้อ แล้วจะรอนะ ... เธอตอบแล้วก็หยิบใบสั่งยาของคนไข้ที่รออยู่ไปทำงานต่อ
...
วันนี้จะแสดงเสน่ห์ปลายจวัก!
เมนูพิเศษ ... อะไรดี

เปิดตู้เย็นเพื่อสำรวจว่ามีอะไรเหลืออยู่บ้าง
ไข่ไก่ 2 ลูก ... แฮม ... ไส้กรอกหมู ... หมด ที่เหลือเป็นขนม
... เอาไงดี ... แล้วก็นึกไปพลางๆ
ช่วงนี้ยังนึกไม่ออก หุงข้าวไปก่อน ... อย่าลืมว่าหุงข้าว ต้องจำไว้ข้อเดียวพอ ...
ไปเตรียมเตา ... แต่เป็นเตาถ่าน ปกติซื้อไว้ย่างหมูกินอย่างเดียว แต่ไม่มีเตาแก๊ส ก็ต้องเอาแบบนี้แก้ขัดไปก่อ
ไปรื้อๆกองสิ่งของข้างบ้าน รู้สึกเหมือนจะมีถ่านที่เหลือๆอยู่ และน่าจะมีขี้ไต้เหลืออยู่นิดหน่อย
รีบก่อไฟ ใช้วิชาลูกเสือให้เป็นประโยชน์ ... หลังจากพยายามไม่นานก็ก่อไฟเสร็จ

ระหว่างที่รอไฟ ก็ไปเตรียมแฮม กับใส้กรอก สับเป็นชิ้นเล็กๆ

เอาไข่มาตีให้สวยเป็นเนื้อเดียวกัน ใส่เกลือหยิบมือเดียวพอ แล้วก็ไม่ต้องใส่อะไรทั้งนั้น
รอข้าวสุกได้ที่ ก็เอามาใส่ในถ้วยเดียวกับไข่ แต่ข้าวต้องมากกว่าไข่สักหน่อยนะ
แล้วก็กวนๆๆๆๆให้เข้ากัน

เอาน้ำมันใส่กะทะ ใส่น้ำมันพืชนิดๆแล้วกลิ้งให้เคลือบทั่วกระทะ
รอให้ไฟร้อนจัดๆ ก็เอาข้าวคลุกไข่ใส่เข้าไป
จังหวะนี้ ต้องผัดเร็วๆอย่าให้นิ่งเด็ดขาด ใช้เวลาแค่ 10-20 วินาทีก็พอ
จะได้ข้าวที่เคลือบด้วยไข่บางๆทุกเม็ด แยกออกจากกัน ไม่เป็นก้อน เป็นสีทองสวยเลยล่ะ
คราวนี้ก็เอาแฮมกับใส่กรอกใส่ตามไป ผัดให้พอร้อน
เป็นอันเสร็จพิธี ... ใครอยากลองก็ได้นะ เพราะง่ายมาก ระวังแค่เกลืออย่ามากหรือน้อยไป
...
เอาข้าวใส่ทับเบอร์แวร์ แง้มไว้นิดนึง ทำไปสองกล่อง กะว่ากินด้วยกัน
แล้วก็รีบไปเสิร์ฟทั้งๆที่ร้อนๆ พร้อมน้ำเย็นๆขวดนึง
...
ข้าวมาแล้วววววววว ... ผมตะโกนบอกหน้าห้องฉุกเฉิน หลังจากที่ดูคร่าวๆแล้วว่าไม่น่าจะมีเคส
...
เธอว่างยัง กินข้าวด้วยกันมั้ย? ผมถามเธอ
ทำเองเลยเหรอ? ทำเป็นด้วยเหรอ? เธอถาม
ลองดูเหอะ ... ผมตอบ
แล้วเธอก็บอกเพื่อนร่วมเวรว่าขอตัวไปกินข้าวแปปนึง

เราเดินไปกินกันที่โต๊ะไม้หินอ่อนตัวเดิม
เธอทำได้ไง? เค้าเรียกว่าอะไร? ข้าวผัดใช่ป่าว? เธอถาม
ข้าวผัดไข่ธรรมดาเนี่ยแหละ แต่ใส่แฮมกับใส่กรอกน่ะ ... กินดูสิ ... อ้ามมมมมม ผมตอบแล้วก็ป้อนเธอ
อ้ำ! .... อร่อยอ่ะ ... วันหลังทำให้กินอีกได้มะ ... เธอถาม
เอาดิ อยากกินเมื่อไหร่ก็บอกได้เลย ... ผมตอบ ... หรือจะให้ป้อนด้วย?

แล้วเราก็นั่งกินกันจนเสร็จ ... เธอก็ขอตัวไปทำงานต่อ ... พร้อมกับหยิบทับเบอร์แวร์ไปล้างด้วย
เธอเดินไปประมาณ ห้าเมตรก็เดินกลับมา
ขอบคุณมากนะ ... เธอบอก
ไม่เป็นไร ... ผมตอบ
เดี๋ยวลงเวร จะไปหานะ ... เธอบอก
อือ ... หือ? ... อะไรนะ? ... ผมไม่เชื่อหูตัวเอง ถามย้ำอีกครั้ง
... ไปละ ... เธอบอกแล้วก็เดินไป
....
...
..
.
หมูหามรอบสาม!!!
...
อย่างนี้มันต้องยืดอกพก...พุง
...
ว่าแล้วก็ต้องไป ........ เซเว่น ... ที่เพิ่งเปิดใหม่
...
..
.
ติ๊ง ติ่ง ...
...
หันไปทางเคาน์เตอร์ ... เล็งเป้าหมายเรียบร้อย ... ถุงกันน็อค
...
แต่ ไปเดินดูแถวๆแปรงสีฟัน ยาล้างหน้าดูเชิงก่อน .... มีคนรู้จักมั้ย มีคนโรงบาลมั้ย
... จนแน่ใจว่าไม่มีแน่ๆ จึงหยิบเอาสบู่ไปก้อนนึงแล้วก็ตรงไปที่เป้าหมายบนเคาน์เตอร์
...
หมอ สวัสดีค่ะ ซื้ออะไรเหรอคะ ... เสียงคุณป้าอายุราวๆ 50 ปีเอ่ยทัก
แต่ ... ได้ยินกันทั้งร้าน
....
มาซื้อสบู่ครับ 555 ป้ามาทำไรครับ... ผมตอบแต่ในใจนึกว่า แม่ง ไม่น่าเป็นหมอเลย ... ตอนเรียนเดินเข้าไปหยิบแบบสบายๆ แต่พอเป็นหมอกลับลำบากชิบหอ
... ยืนคุยกับป้าแปปนึง ป้าก็เดินออกไป ... แต่... ป้าเป็นใครน่ะ?
หันไปหาเป้าหมาย ... ผิวเรียบละกัน รุ่นเพอร์ฟอร์มานซ์ ดีกว่า ...
แต่ตาเหลือบไปเห็นพนักงานเซเว่นมอง .... มองแบบว่า ... เป็นหมอใช่มั้ย? หมอเอาไปทำอัลไล???
... แม่ง
พอ... ล้มเลิกโครงการ เดินเอาสบู่ไปวางแล้วก็ออกจากร้านไป
...
พนักงานเซเว่นน่าจะเข้ากะเหมือนๆพยาบาลรึเปล่า?
ถ้ารอเปลี่ยนผลัดก็น่าจะไม่ทันการ
...
ร้านยาไง
...
แต่ร้านเจ้าหน้าที่โรงบาลทั้งเพ
...
..
.
จบ ... โครงการหามหมู ...
...
..
.
ยัง! ถุงยาง เอ้ย ถุงชูชีพฟรีของฝ่ายเวชฯไง!
...
..
. พอก่อน เอาไว้ต่อนะ เพลียจุงเบยยยยยยย